หน้าหลัก พระสงฆ์ การบริหารคณะสงฆ์ไทย
Search:

“ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการ ...
สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ
..ย่อมเป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ ผู้ควรแก่ทักษิณา เป็นผู้ควรอัญชลีกรรม เป็นนาบุญของโลก

หนังสือ พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์
รองศาสตราจารย์แสง จันทร์งาม

หน้าแรก : หมวดพระสงฆ์
การบริหารคณะสงฆ์ไทย
การบริหารคณะสงฆ์ มีมาแล้วตั้งแต่พุทธกาล หลักที่ใช้คือ พระธรรมวินัย เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธ์ปรินิพพานแล้ว เกิดความไม่เรียบร้อยขึ้น จึงได้มีการทำปฐมสังคายนาขึ้น ที่เมืองราชคฤห์ โดยมีพระมหากัสสปเป็นประธาน การบริหารคณะสงฆ์ ก็เรียบร้อยมาได้ระยะหนึ่ง ต่อมาก็เกิด ถือลัทธิต่างกัน เกิดความไม่เรียบร้อยขึ้นอีก เป็นเช่นนี้ตลอดมา

เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงมาได้ประมาณ ๒๐๐ ปี เศษ พระเจ้าอโศกมหาราชได้ครอบครอง อาณาจักรอินเดีย อย่างกว้างขวาง พระองค์เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ได้ยกพระพุทธศาสนาเป็นประธาน สำหรับประเทศเป็นครั้งแรก พวกเดียรถีย์ ได้ปลอมตนเข้าบวชเป็นพระภิกษุในพุทธศาสนา เพื่อแสวงประโยชน์ส่วนตนเป็นอันมาก เกิดความไม่เรียบร้อยขึ้นในสังฆมณฑล พระเจ้าอโศกมหาราชจึงทรงอาราธนาพระโมคคัลลีบุตร เป็นประธานสังคายนาพระธรรมวินัยที่เมืองปาตลีบุตร เมื่อ พ.ศ. ๒๓๖ วางระเบียบพระธรรมวินัยให้รวมลงเป็นอย่างเดียวกัน สังฆมณฑลจึงเกิดความเรียบร้อยสืบต่อมา

เมื่อพระพุทธศาสนาได้เผยแผ่ออกไปยังประเทศต่าง ๆ การบริหารสังฆมณฑลจึงต้องอนุโลมไปตามแบบแผน ประเพณีของประเทศนั้น ๆ ในบางส่วน เพื่อให้พุทธจักรและอาณาจักรเป็นไปด้วยดีทั้งสองฝ่าย สรุปแล้วพระภิกษุสงฆ์มีกฎหมาย ที่พึงปฏิบัติอยู่สามประเภทคือ พระวินัย จารีต และกฎหมายแผ่นดิน

การบริหารคณะสงฆ์สมัยสุโขทัย
พระพุทธศาสนาได้ประดิษฐานในดินแดนสุวรรณภูมิ อันเป็นที่ตั้งของประเทศไทย และอีกหลายประเทศในอาเชียตะวันออกเฉียงใต้ มาตั้งแต่ยุคกรุงสุโขทัยเป็นราชธานีของไทย ในประมาณปี พ.ศ. ๑๘๐๐ ประชาชนในดินแดนแห่งนี้ ได้รับนับถือพระพุทธศาสนา แบบเถรวาทเดิมสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช แบบมหายาน แบบเถรวาทอย่างพุกาม และแบบ เถรวาทอย่างลังกา สืบกันมาตามลำดับ

จากหลักฐานในศิลาจารึกพ่อขุนรามคำแห่งมหาราช แห่งราชอาณาจักรสุโขทัย พบว่ามี สังฆราช ปู่ครู มหาเถระ และเถระ ในสมัยนี้น่าจะมีพระสังฆราชมากกว่าองค์เดียว เพราะทางราชอาณาจักร มีทั้งเมืองในปกครองโดยตรง และเมืองประเทศราชมีเจ้าปกครอง จึงน่าจะมีสังฆราชของตนเองด้วย

คณะสงฆ์สมัยสุโขทัย แบ่งออกเป็น ๒ คณะ คือ คามวาสี และอรัญวาสี จัดระเบียบการปกครองคณะสงฆ์เป็นฝ่ายขวา และฝ่ายซ้าย มีราชทินนาม สำหรับสังฆนายกตามแบบลังกา ฝ่ายขวาคือพระสังฆราชอยู่วัดมหาธาตุ และมีพระครูอยู่วัดต่าง ๆ เป็นสังฆนายกชั้นรองลงมาอีก ๓ องค์ ฝ่ายซ้ายมีพระครูธรรมราชาอยู่วัดไตรภูมิป่าแก้ว และพระครูวัดต่าง ๆ เป็นสังฆนายกรองลงมาอีก ๒ องค์

การบริหารคณะสงฆ์สมัยอยุธยา
ในตอนแรกคล้ายกับสมัยสุโขทัย คือ เป็นคณะคามวาสีและคณะอรัญวาสี ต่อมามีพระสงฆ์ไทยไปศึกษาพระธรรมวินัย ที่เมืองลังกา แล้วกลับมาประพฤติปฏิบัติ เคร่งครัดกว่าคณะสงฆ์ไทยที่เป็นอยู่เดิม จึงได้มีการตั้งคณะขึ้นอีกหนึ่งคณะคือ คณะป่าแก้ว ซึ่งต่อมาเรียกว่าคณะคามวาสี ฝ่ายขวา

ความนับถือพระพุทธศาสนาสมัยอยุธยา ไม่สู้สนใจหลักธรรมชั้นสูงนัก ส่วนใหญ่มุ่งไปสู่เรื่องทำบุญ ทำกุศล สร้างวัด ปูชนียสถาน ปูชนียวัตถุ และทำพิธีกรรมต่าง ๆ มาก รวมทั้งการฉลองและงานมนัสการ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. ๑๙๙๑-๑๙๙๘) ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนามาก ทรงออกผนวชถึง ๘ เดือน ในรัชสมัยพระเจ้าทรงธรรม (พ.ศ. ๒๑๖๓-๒๑๗๑) ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระไตรปิฎกไว้จบบริบูรณ์

ในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (พ.ศ. ๒๑๗๓-๒๒๗๕) มีผู้นิยมบวชเรียนกันมากทำให้มีคนหลบเลี่ยงราชการไปบวชกันมาก จนต้องมีการออกมาตรการให้มีการสอบความรู้พระภิกษุ สามเณรที่มาบวชโดยไม่มีความรู้ในพระศาสนา ถูกบังคับให้ลาสิกขาเป็นอันมาก

ในรัชสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกฐ (พ.ศ. ๒๒๗๕-๒๓๑๐) เกิดมีประเพณีว่า ผู้ที่จะเข้ารับราชการเป็นขุนนาง ข้าราชการ มียศฐาบรรดาศักดิ์ ต้องได้บวชมาแล้วจึงจะทรงแต่งตั้ง ในห้วงเวลานี้ ทางลังกาเกิดสูญสิ้นพุทธศาสนวงศ์ กษัตริย์ลังกาต้องส่งราชทูตมาขอคณะสงฆ์ไทยไปตั้งสยามวงศ์หรืออุบาลีวงศ์ที่ลังกา สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน

การบริหารคณะสงฆ์สมัยปลายอยุธยา ถือพระธรรมวินัยเป็นหลัก ทางด้านอาณาจักรได้อาศัยพระบรมราชูปถัมภ์ จากพระมหากษัตริย์ ทำให้คณะสงฆ์เป็นระเบียบเรียบร้อย และเจริญก้าวหน้า สามารถเผยแผ่พระพุทธศาสนาไปยังต่างประเทศได้ การปกครองและการตั้งสมณศักดิ์ มีตำแหน่งสังฆนายก เป็น ๓ ระดับคือ สมเด็จพระสังฆราช พระสังฆราชาคณะและพระครู เจ้าคณะเมืองใหญ่เป็นที่สังฆราชา เจ้าคณะเมืองเล็กเป็นพระครู พระสังฆปรินายกเป็นสมเด็จพระสังฆราช บรรดาพระสงฆ์ ต่างชาติเช่น มอญ ลาว เป็นต้น ให้พระครูเป็นหัวหน้าดูแล โดยแบ่งการปกครองสงฆ์ไว้ดังนี้

คณะคามวาสีฝ่ายซ้าย สมเด็จพระอริยวงศาสังฆราชาธิบดี วัดหน้าพระธาตุเป็นเจ้าคณะ มีฐานานุกรม ๑๐ รูป มีพระราชาคณะในกรุงเป็นเจ้าคณะรอง ๑๗ รูป ๑๗ วัด มีพระครูหัวเมืองฝ่ายเหนือขึ้นไปปกครอง ๒๔ รูป ๒๒ เมือง ในจำนวนนี้ เมืองพิษณุโลกมีสังฆราชาและมีพระครูที่ขึ้นกับคณะพิษณุโลก ๓ เมือง ๓ รูป เมืองสุโขทัยมีสังฆราชา เมืองลพบุรี สวางคบุรีและนครราชสีมา มีพระครูเป็นที่สังฆราชา เมืองปรันตะประเทศ มีพระครูเป็นเจ้าคณะ ๓ รูป มีเมืองที่ไม่มีพระครู ๒๖ เมือง

คณะคามวาสีฝ่ายขวา พระวันรัตวัดป่าแก้วเป็นเจ้าคณะ มีพระฐานานุกรม ๑๑ รูป มีพระราชาคณะในกรุงเป็น เจ้าคณะรอง ๑๗ รูป ๑๗ วัด คณะหัวเมืองปักษ์ใต้ มีพระครูหัวเมือง ๕๖ รูป ๒๖ เมือง เมืองราชบุรี เพชรบุรี และจันทบุรี มีพระครูเป็นที่สังฆราชา มีหัวเมืองไม่มีพระครู อีก ๒๐ เมือง

คณะอรัญวาสี พระพุทธาจารย์ วัดโบสถ์ราชเดชะ เป็นเจ้าคณะปกครองคณะสงฆ์ฝ่ายสมถวิปัสสนา ทั้งในกรุง และนอกกรุง เจ้าคณะรอง ๗ รูป ๗ วัด และพระครูฝ่ายวิปัสสนา พระครูเจ้าคณะสามัญ พระครูเจ้าคณะลาว ขึ้นอยู่ในปกครองด้วย

การบริหารคณะสงฆ์สมัยกรุงธนบุรี
หลังจากเสียกรุงศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. ๒๓๑๐ พระพุทธศาสนาไม่ว่าจะเป็นวัดวาอารามและพระสงฆ์รวมทั้งคัมภีร์ และศิลปกรรม จิตรกรรมทางพุทธศาสนา ก็ได้ถูกทำลายไปด้วยอย่างย่อยยับ เมื่อพระเจ้าตากสินมหาราชขับไล่กองทัพ พม่าออกไป จากราชอาณาจักรและตั้งกรุงธนบุรีเป็นราชธานีขึ้นใหม่แล้ว ก็ได้ทรงรวบรวมคณะสงฆ์ตั้งเป็นปึกแผ่นขึ้นมาใหม่ โดยตั้งพระอาจารย์จากวัดประดู่ ให้เป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์แรกแห่งกรุงธนบุรี เมื่อพระสังฆราช (ดี) สิ้นพระชนม์ ก็ได้ตั้งพระอาจารย์สี จากวัดบางหว้าใหญ่ ซึ่งเป็นพระราชาคณะสมัยกรุงศรีอยุธยาอยู่วัดพนัญเชิง เป็นสมเด็จพระสังฆราชได้ทรงส่งพระราชาคณะออกไปจัดการสังฆมณฑล ตามหัวเมืองฝ่ายเหนือ ซึ่งวิปริตไปตั้งแต่เจ้าพระฝาง

ได้ทรงให้เสาะแสวงหาพระไตรปิฎก ที่กระจัดกระจายอยู่ ณ ที่ต่าง ๆ มารวบรวมไว้ เพื่อให้เป็นหลักในการบริหารคณะสงฆ์ ได้ถูกถ้วนสมบูรณ์ ทรงสร้างและปฏิสังขรณ์วัดวาอารามเป็นจำนวนมาก โดยโปรดเกล้า ฯ ให้ว่าจ้างข้าราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนร่วมกันสร้างพระอุโบสถ วิหาร เสนาสนะและกุฎีสงฆ์ มีจำนวนมากกว่า ๒๐๐ หลัง พระอารามที่ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สถาปนาขึ้นในรัชสมัยของพระองค์ ได้แก่ วัดราชคฤห์ (วัดบางยี่เรือเหนือ) พระอารามที่ทรงปฏิสังขรณ์ ได้แก่ วัดระฆังโฆษิตาราม (วัดบางหว้าใหญ่) วัดอรุณราชวราราม (วัดแจ้ง) วัดอินทาราม (วัดบางยี่เรือใต้) และวัดหงส์รัตนาราม (วัดหงส์อาวาสวิหาร) ฯลฯ

การบริหารคณะสงฆ์ในสมัยรัตนโกสินทร์
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ถึงพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า ฯ ทรงสร้างและปฏิสังขรณ์วัดหลายแห่ง ที่สำคัญได้แก่ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม วัดสุทัศน์ ฯ วัดสระเกศ ฯ และวัดพระเชตุพน ฯ เป็นต้น เจ้านาย ขุนนาง ข้าราชการก็พากันสร้างวัด โดยเสด็จพระราชกุศล กันมากเช่น สมเด็จกรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ทรงสร้างวัดมหาธาตุ ฯ เป็นต้น ทรงแก้ไขความวิปริตในสังฆมณฑทหลายประการ เช่น เปลี่ยนนามพระราชาคณะที่พ้องกับพระนาม พระพุทธเจ้าเป็นนามอื่น ตั้งสมเด็จพระสังฆราช ตั้งพระราชาคณะ และตั้งพระราชาคณะฝ่ายรามัญ ที่ว่างอยู่

โปรดเกล้า ฯ ให้ประชุมพระสงฆ์ และบัณฑิตทำการสังคายนาพระไตรปิฎก เมื่อปี พ.ศ. ๒๓๓๑ แล้วคัดลอกสร้างเป็น พระไตรปิฎกฉบับหลวง ๓ ฉบับ โปรดเกล้า ฯ ให้มีการสอนพระปริยัติธรรมในพระบรมมหาราชวัง ตลอดจนวังเจ้านาย และข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทรงตรากฎหมายพระสงฆ์ เพื่อควบคุมและกวดขันความประพฤติของพระสงฆ์ รวม ๑๐ ฉบับ เป็นการชำระพระศาสนาให้บริสุทธิ์ และทรงสืบต่อประเพณีพระราชปุจฉาคณะสงฆ์

การคณะสงฆ์ในสมัยพระองค์ คงจัดตามแบบสมัยกรุงศรีอยุธยา และมีการแก้ไขบางประการให้เหมาะสมแก่ สภาพความเป็นจริง เช่น คณะอรัญวาสีมีน้อยไม่พอตั้งเป็นคณะ จึงคงมีเพียง ๒ คณะ คือ คณะเหนือ และคณะใต้

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้า ฯ พระองค์ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดอรุณ ฯ วัดโมฬีโลก และวัดสุทัศน ฯ เป็นต้น โปรดเกล้า ฯ ให้สมเด็จพระสังฆราช (มี) จัดสมณฑูตไปสืบสวนศาสนาวงศ์ในลังกาทวีป ทรงมีพระราชดำริด้วยสมเด็จพระสังฆราช ให้ทำพิธีวิสาขบูชาขึ้นเป็นครั้งแรก ในสมัยรัตนโกสินทร์ และสมเด็จพระสังฆราช (มี) ได้ขยายหลักสูตรการเรียนบาลี ๓ ชั้นเดิม คือ บาเรียนตรี โท เอก ซึ่งมีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เป็นเปรียญ ๙ ประโยค ต่อมาสมัยสมเด็จพระสังฆราช (สุก) ได้โปรดให้สังคายนาบทสวดมนต์

การบริหารคณะสงฆ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ ถึงพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างพระไตรปิฎกฉบับหลวงเพิ่มจำนวนขึ้นไว้อีกหลายฉบับให้ครบสมบูรณ์กว่าเดิม โปรดเกล้า ฯ ให้แปลพระไตรปิฎกเป็นภาษาไทย โดยเฉพาะในส่วนที่เป็นพระสูตร ทรงสร้างและปฏิสังขรณ์ พระอารามหลวง ทรงอุปการะอุดหนุนให้มีผู้สร้าง และปฏิสังขรณ์วัดวาอารามขึ้นเป็นจำนวนมาก พระราชทานอุปถัมภ์ ภิกษุ สามเณร ที่สอบได้ ตลอดไปถึงบิดามารดา โปรดเกล้า ฯ ให้รวมพระอารามหลวง และวัดราษฎร์ ในกรุงเทพ ฯ เข้าเป็นคณะกลาง เมื่อรวมกับคณะเดิมจึงมี ๔ คณะ คือ คณะเหนือ คณะใต้ คณะกลาง และคณะอรัญวาสี (มีแต่ตำแหน่งเจ้าคณะ)

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า ฯ ทรงสร้างวัดบรมนิวาส วัดโสมนัสวิหาร วัดปทุมวนาราม วัดราชประดิษฐ และ วัดมงกุฎกษัตริยาราม ทรงบูรณะพระปฐมเจดีย์ โปรดเกล้า ฯ ให้มีพิธีมาฆบูชาขึ้นเป็นครั้งแรก ให้การรับรองเป็นทางการ แก่พุทธศาสนามหายานขึ้นเป็นครั้งแรก

การบริหารคณะสงฆ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า ฯ
พระองค์ได้ทรงสร้างวัดขึ้นใหม่ ๖ วัด โปรดเกล้า ฯ ให้สร้างโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรขึ้น ตามวัดต่าง ๆ โดยเริ่มที่วัดมหรรณพาราม ย้ายที่ ราชบัณฑิตบอกปริยัติธรรมแก่ภิกษุ สามเณร จากใน วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ออกมาจัดเป็นบาลีวิทยาลัย ขึ้นที่วัดมหาธาตุ ฯ ให้ชื่อว่า มหาธาตุวิทยาลัย ซึ่งต่อมา ได้เปลี่ยนเป็นมหาจุฬาราชวิทยาลัยในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่วัดบวรนิเวศวิหาร

ทรงมีพระบรมราชโองการประกาศ จัดการเล่าเรียนในหัวเมือง เป็นการประกาศเพื่อ ให้พระสงฆ์ทั่วพระราชอาณาจักรเอาใจใส่สั่งสอนธรรมแก่ประชาชน และฝึกสอนวิชาความรู้ต่าง ๆ แก่กุลบุตร

ทรงมีพระบรมราชโองการประกาศ พ.ร.บ. ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ ร.ศ. ๑๒๑ เพื่อให้ฝ่ายพุทธจักรมีการปกครอง คู่กันกับฝ่ายพระราชอาณาจักร พระองค์ได้พระราชทานสมณศักดิ์แก่พระหัวหน้าพระจีน และพระญวณ โดยให้หัวหน้าฝ่ายจีน เป็นพระอาจารย์ รองลงมาเป็นผู้ช่วย หัวหน้าฝ่ายญวณเป็นพระครู รองลงมาเป็นปลัด รองปลัดและผู้ช่วย เดิมขึ้นกับกรมท่าซ้าย ต่อมาจึงย้ายมาขึ้นกับกระทรวงธรรมการ เป็นการเริ่มต้นคณะสงฆ์จีนนิกายและอนัมนิกายในปัจจุบัน

การบริหารคณะสงฆ์ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ฯ ถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้ใช้ พุทธศักราช (พ.ศ.) แทนรัตนโกสินทรศก (ร.ศ.) ตั้งแต่ วันที่ ๑ เมษายน ๒๔๕๖ ดังนั้นวันที่ ๑ เมษายน จึงเป็นวันขึ้นปีใหม่ ในครั้งนั้น ได้มีเพลงมีเนื้อร้องว่า "วันที่หนึ่ง เมษายน ตั้งต้นปีใหม่..."

สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงริเริ่มการศึกษาพระปริยัติธรรมขึ้นอีกหลักสูตรหนึ่ง เพิ่มเติมจากการสอนบาลีสนามหลวง เรียกว่า นักธรรม โดยมีการสอบครั้งแรก เมื่อเดือนตุลาคม ๒๔๕๔

ในปี พ.ศ. ๒๔๕๕ ได้พระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้จัดระเบียบสมณศักดิ์ใหม่ โดยแยกสมณศักดิ์ออกเป็น ฝ่ายฐานันดร และฝ่ายตำแหน่ง ฝ่ายฐานันดรคือยศจัดเป็น ๒๑ ขั้น ตั้งแต่สมเด็จพระมหาสมณ ไปจนถึงพระพิธีธรรม ดังนี้

สมเด็จพระมหาสมณ สมเด็จพระราชาคณะ พระราชาคณะชั้นหิรัญบัตร พระราชาคณะชั้นธรรม พระราชาคณะชั้นเทพ พระราชาชั้นราช พระราชาคณะชั้นสามัญ พระครูสังฆปาโมกข์หัวเมืองนิตยภัติ ๑๒ บาท และพระบาเรียน ๙ ประโยค พระครูนิตยภัติ ๘ บาท และบาทบาเรียน ๘ ประโยค พระครูนิตยภัติ ๖ บาท และพระบาเรียน ๗ ประโยค พระครูเจ้าคณะรองหัวเมือง พระครูเจ้าคณะแขวงมีราชทินนาม พระครูปลัดและพระบาเรียน ๖ ประโยค พระครูวินัยธร พระครูวินัยธรรมและพระบาเรียน ๕ ประโยค พระครูคู่สวด และพระบาเรียน ๔ ประโยค พระปลัดของพระราชาคณะสามัญและพระบาเรียน ๓ ประโยค พระครูรองคู่สวด พระครูสงฆ์และพระผู้อุปการะโรงเรียนหนังสือไทย พระครูเจ้าคณะแขวงไม่มีราชทินนาม พระครูสมุห์พระครูใบฎีกา พระสมุห์และพระใบฎีกา พระถานานุกรมเจ้าอธิการและพระอุปัชณาย์ พระอธิการ พระพิธีธรรม

ฝ่ายตำแหน่ง จัดเป็น ๑๑ ลำดับ คือ สกลสังฆปริณายก มหาสังฆปริณายกหรือเจ้าคณะใหญ่สังฆนายก หรือเจ้าคณะรอง เจ้าคณะมณฑลและคณาจารย์เอก รองเจ้าคณะมณฑล เจ้าคณะเมือง เจ้าคณะแขวงในกรุงเทพฯ ปลัดและคณาจารย์โท รองเจ้าคณะเมือง เจ้าคณะหมวดในกรุงเทพฯ และคณาจารย์ตรีรองเจ้าคณะแขวง เจ้าอาวาสและอาจารย์ใหญ่ รองเจ้าอาวาสและอาจารย์รอง

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ ได้โปรดเกล้า ฯ ให้พิมพ์พระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐจบละ ๔๕ เล่ม พระราชทานไปยังต่างประเทศด้วย
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ได้มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๔๘๔ มีสาระที่สำคัญคือ จัดการปกครองสงฆ์ให้อนุโลมตามระบอบการปกครองบ้านเมืองเท่าที่ไม่ขัดกับพระธรรมวินัย สรุปแล้วคณะสงฆ์ไทย เป็นลัทธิหินยานแบบเถรวาท ยึดถือ พระธรรมวินัย อันเป็นพุทธบัญญัติ

มีพระมหากษัตริย์เป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภก พุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย เป็นราชธานี จนถึงปัจจุบัน

เนื้อหา และภาพประกอบ : หอมรดกไทย

ฟังธรรมะบรรยาย
(มากกว่า ๔,๐๐๐ ไฟล์)

อ่านพระไตรปิฎก
(คัมภีร์สำคัญทางพุทธศาสนา)
อ่านหนังสือธรรมะออนไลน์
(โดยพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง)
วิธีปฏิบัติธรรม
(ธรรมะภาคปฏิบัติ)
 

จุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
     จุดหมายสูงสุด ของพระพุทธศาสนา พึงบรรลุได้ด้วยความสุขหรือด้วยข้อปฏิบัติที่มีความสุข มิใช่บรรลุด้วยความทุกข์ หรือด้วยข้อปฏิบัติที่เป็นทุกข์
      ผู้ปฏิบัติจะต้องไม่ติดใจหลงไหลในความสุขที่เกิดขึ้นแก่ตน ไม่ปล่อยให้ความสุขที่เกิดขึ้นนั้น ครอบงำ
        จิตใจของตน ยังมีจิตใจเป็นอิสระ สามารถก้าวหน้าไปในธรรมเบื้องสูง ต่อๆ ไป จนบรรลุความเป็นอิสระ
        หลุดพ้นโดยบริบูรณ์
      ซึ่งเมื่อบรรลุจุดหมายนั้นแล้ว ก็สามารถเสวยความสุขที่เคยเสวยมาแล้ว โดยที่ความสุขนั้น ไม่มีโอกาส
        ครอบงำจิตใจ ทำให้ติดพันหลงไหลได้เลย
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

หลักแห่งพระพุทธศาสนาโดยสรุป
     พุทธศาสนาคือวิชาและระเบียบปฏิบัติ เพื่อให้รู้สิ่งทั้งปวงถูกต้องตามที่เป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งทั้งปวง มีสภาพตามที่เป็นจริง คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวหรือของตัว ; แต่สัตว์ทั้งหลายยังหลงรัก หลงยึดติดสิ่งทั้งปวง เพราะอำนาจของการยึดมั่นที่ผิด ในพุทธศาสนามีวิธี ปฏิบัติเรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือ ตัดการติดการยึดมั่นนั้นเสีย อุปาทาน การยึดมั่นนั้นมีสิ่งที่ลงเกาะหรือจับยึด คือ ขันธ์ทั้งห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
      เมื่อรู้จักขันธ์ทั้งห้า ตามที่เป็นจริง ก็จะสามารถเข้าใจสิ่งทั้งปวงจนถึงกับเบื่อหน่ายคลายความอยาก ไม่ยึดอะไร ติดอะไร และเราควรจะมีชีวิตอยู่อย่างที่เรียกว่า "เป็นอยู่ชอบ" คือให้ วันคืนเต็มไปด้วยความปีติ ปราโมทย์ อันเกิดมาจากการกระทำที่ดีที่งามที่ถูกต้องอยู่เป็นประจำ แล้วระงับความฟุ้งซ่าน เกิดสมาธิ เกิดความเห็นแจ้งได้เรื่อยๆ ไป จนกระทั่งเกิดความเบื่อหน่าย ความคลายออก ความหลุดพ้น และนิพพานได้ตามความเหมาะสมของสิ่งแวดล้อม
      ถ้าเราจะรีบเร่งทำให้ได้ผลเร็วขึ้น ก็มีแนวปฏิบัติที่เรียกว่า วิปัสสนาธุระ เริ่มตั้งแต่มี ความประพฤติบริสุทธิ์ มีใจบริสุทธิ์ มีความเห็นบริสุทธิ์ เรื่อยขึ้นไปจนถึงมีปัญญา คือความเห็นแจ้งบริสุทธิ์ ในที่สุดก็จะตัดกิเลสที่ผูกมัดคนให้ติดอยู่กับวิสัยโลกออกเสียได้ เรียกว่า การบรรลุมรรคผล
ท่านพุทธทาสภิกขุ : คู่มือมนุษย์



สงวนลิขสิทธิ์โดย ธรรมะพีเดีย.คอม
เว็บไซต์นี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแผ่พุทธศาสนา โดยไม่มุ่งหวังผลทางพาณิชย์
อนุญาตให้นำไปเผยแผ่เพื่อสืบต่อพุทธศาสนาได้ตามกุศลเจตนา

www.thammapedia.com
( ศูนย์เผยแผ่พระพุทธธรรม )
Copyright © 2008 ALL RIGHTS RESERVED
 
 
หน้าหลัก