หน้าหลัก พระสงฆ์ พระอสีติมหาสาวก พระติสสเมตเตยยเถระ
Search:

“ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการ ...
สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ
..ย่อมเป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ ผู้ควรแก่ทักษิณา เป็นผู้ควรอัญชลีกรรม เป็นนาบุญของโลก

หนังสือ พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์
รองศาสตราจารย์แสง จันทร์งาม

หน้าแรก : หมวดพระสงฆ์
ประวัติ พระติสสเมตเตยยเถระ

ชาติภูมิ
ท่านพระติสสเมตเตยยเถระ เป็นบุตรพราหมณ์ ในกรุงสาวัตถี เดิมชื่อว่า ติสสะ มีนามโดยสกุลว่า เมตเตยยะ รวมเป็นนามเดียวว่า ติสสเมตเตยยะ เมื่อมีอายุควรแก่การศึกษาเล่าเรียนแล้ว ได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ เล่าเรียนศิลปวิทยา ในสำนักของพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล

ออกบวชเป็นชฏิลตามพราหมณ์พาวรี
ครั้นพราหมณ์พาวรี มีความเบื่อหน่ายในฆราวาสวิสัย จึงได้กราบทูลลาออกจากตำแหน่งปุโรหิต ออกบวชเป็นชฎิล ประพฤติพรต ตามลัทธิของพราหมณ์ ตั้งอาศรมอยู่ ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ที่พรมแดนแห่งเมืองอัสสกะ และ เมืองอาฬกะต่อกัน เป็นอาจารย์ใหญ่บอกไตรเพทแก่หมู่ศิษย์

ติสสเมตเตยยมาณพ พร้อมกับมาณพอื่น ได้ติดตามออกบวชด้วย และศึกษาศิลปวิทยา อยู่ในสำนักของพราหมณ์พาวรีนั้น

พราหมณ์พาวรีผูกปัญหาให้มานพ ๑๖ คนไปทูลถามพระพุทธเจ้า
ครั้นต่อมา พราหมณ์พาวรีได้ทราบข่าวว่า พระโอรสของพระเจ้าศักยะ เสด็จออกทรงผนวช ปฏิญาณพระองค์ว่าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ แสดงธรรม สั่งสอนประชาชน มีคนนับถือและเลื่อมใส ยอมตนเป็นสาวก ปฏิบัติตามคำสั่งสอนเป็นจำนวนมาก

พราหมณ์พาวรี ประสงค์จะสืบสวนให้ได้ความจริง จึงเรียกมาณพผู้เป็นศิษย์สิบหกคน มีอชิตมาณพเป็นหัวหน้า ผูกปัญหาให้คนละหมวด ๆ ให้ไปทูลถามลองดู

ติสสเมตเตยยมาณพ ทูลถามปัญหาเป็นคนที่สอง
มาณพทั้งสิบหกคนลาอาจารย์ แล้วไปเฝ้าพระศาสดา ที่ปาสาณเจดีย์ แคว้นมคธ ทูลขอโอกาสถามปัญหา คนละหมวด ครั้นพระบรมศาสดาทรงอนุญาตแล้ว อชิตมาณพทูลถามปัญหาเป็นคนแรก ๔ ข้อ เมื่อจบการตอบปัญหา ของอชิตมาณพแล้ว ติสสเมตเตยยมาณพ จึงทูลถามปัญหาเป็นคนที่สองว่า
" ใครชื่อว่าเป็นคนสันโดษ คือ มีความประสงค์เต็มบริบูรณ์ในโลกนี้ ใครไม่มีความอยาก ซึ่งเป็นเหตุดิ้นรนทะเยอทะยาน ใครรู้ส่วนข้างปลายทั้งสอง (คือ อดีต กับ อนาคต) ด้วยปัญญาแล้ว ไม่ติดอยู่ในส่วนท่ามกลาง (คือ ปัจจุบัน) พระองค์ตรัสว่า ใครเป็นมหาบุรุษ ใครล่วงความตาย อันผูกใจสัตว์ไว้ในโลกนี้ ดุจด้ายเป็นเครื่องเย็บให้ติดกันไปได้?"

พระศาสดาทรง เฉลยว่า "ภิกษุผู้ประพฤติพรหมจรรย์ สำรวมในกามทั้งหลาย ปราศจากความอยากแล้ว มีสติระลึกได้ทุกเมื่อ พิจารณาเห็นโดยชอบ ดับเครื่องร้อนกระวนกระวายเสียได้แล้ว ชื่อว่าเป็นผู้สันโดษ คือ มีความประสงค์เต็มบริบูรณ์ ในโลกนี้ ความอยาก ซึ่งเป็นเหตุดิ้นรนทะเยอทะยาน ของภิกษุนั้นไม่มี ภิกษุนั้นแล รู้ส่วนข้างปลายทั้งสอง ด้วยปัญญาแล้ว ไม่ติดอยู่ในส่วนท่ามกลาง เรากล่าวว่า ภิกษุนั้นแหละ เป็นมหาบุรุษ ภิกษุนั้นแล ล่วงความอยาก อันผูกในสัตว์ไว้ในโลกนี้ ดุจด้ายเป็นเครื่องเย็บผ้า ให้ติดกันไว้ได้"

บรรลุอรหัตตผลขณะยังเป็นคฤหัสถ์
ในที่สุดแห่งการตอบปัญหา ติสสเมตเตยยมาณพ ได้สำเร็จพระอรหัตผล (ก่อนอุปสมบท) เมื่อมาณพที่เหลือ ทูลถามปัญหาของตน ๆ และพระบรมศาสดาทรงตอบแล้ว ติสสเมตเตยยมาณพ พร้อมมาณพเหล่านั้น ทูลขออุปสมบทในพระธรรมวินัย พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เป็นภิกษุด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา.

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม
+++


ย้อนกลับ เนื้อหา : จาก อสีติมหาสาวก : พลเรือตรี รองศาสตราจารย์ ทองใบ ธีรานันทางกูร
(http://gold58-disciplesofthebuddha.blogspot.com)

ฟังธรรมะบรรยาย
(มากกว่า ๔,๐๐๐ ไฟล์)

อ่านพระไตรปิฎก
(คัมภีร์สำคัญทางพุทธศาสนา)
อ่านหนังสือธรรมะออนไลน์
(โดยพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง)
วิธีปฏิบัติธรรม
(ธรรมะภาคปฏิบัติ)
 

จุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
     จุดหมายสูงสุด ของพระพุทธศาสนา พึงบรรลุได้ด้วยความสุขหรือด้วยข้อปฏิบัติที่มีความสุข มิใช่บรรลุด้วยความทุกข์ หรือด้วยข้อปฏิบัติที่เป็นทุกข์
      ผู้ปฏิบัติจะต้องไม่ติดใจหลงไหลในความสุขที่เกิดขึ้นแก่ตน ไม่ปล่อยให้ความสุขที่เกิดขึ้นนั้น ครอบงำ
        จิตใจของตน ยังมีจิตใจเป็นอิสระ สามารถก้าวหน้าไปในธรรมเบื้องสูง ต่อๆ ไป จนบรรลุความเป็นอิสระ
        หลุดพ้นโดยบริบูรณ์
      ซึ่งเมื่อบรรลุจุดหมายนั้นแล้ว ก็สามารถเสวยความสุขที่เคยเสวยมาแล้ว โดยที่ความสุขนั้น ไม่มีโอกาส
        ครอบงำจิตใจ ทำให้ติดพันหลงไหลได้เลย
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

หลักแห่งพระพุทธศาสนาโดยสรุป
     พุทธศาสนาคือวิชาและระเบียบปฏิบัติ เพื่อให้รู้สิ่งทั้งปวงถูกต้องตามที่เป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งทั้งปวง มีสภาพตามที่เป็นจริง คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวหรือของตัว ; แต่สัตว์ทั้งหลายยังหลงรัก หลงยึดติดสิ่งทั้งปวง เพราะอำนาจของการยึดมั่นที่ผิด ในพุทธศาสนามีวิธี ปฏิบัติเรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือ ตัดการติดการยึดมั่นนั้นเสีย อุปาทาน การยึดมั่นนั้นมีสิ่งที่ลงเกาะหรือจับยึด คือ ขันธ์ทั้งห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
      เมื่อรู้จักขันธ์ทั้งห้า ตามที่เป็นจริง ก็จะสามารถเข้าใจสิ่งทั้งปวงจนถึงกับเบื่อหน่ายคลายความอยาก ไม่ยึดอะไร ติดอะไร และเราควรจะมีชีวิตอยู่อย่างที่เรียกว่า "เป็นอยู่ชอบ" คือให้ วันคืนเต็มไปด้วยความปีติ ปราโมทย์ อันเกิดมาจากการกระทำที่ดีที่งามที่ถูกต้องอยู่เป็นประจำ แล้วระงับความฟุ้งซ่าน เกิดสมาธิ เกิดความเห็นแจ้งได้เรื่อยๆ ไป จนกระทั่งเกิดความเบื่อหน่าย ความคลายออก ความหลุดพ้น และนิพพานได้ตามความเหมาะสมของสิ่งแวดล้อม
      ถ้าเราจะรีบเร่งทำให้ได้ผลเร็วขึ้น ก็มีแนวปฏิบัติที่เรียกว่า วิปัสสนาธุระ เริ่มตั้งแต่มี ความประพฤติบริสุทธิ์ มีใจบริสุทธิ์ มีความเห็นบริสุทธิ์ เรื่อยขึ้นไปจนถึงมีปัญญา คือความเห็นแจ้งบริสุทธิ์ ในที่สุดก็จะตัดกิเลสที่ผูกมัดคนให้ติดอยู่กับวิสัยโลกออกเสียได้ เรียกว่า การบรรลุมรรคผล
ท่านพุทธทาสภิกขุ : คู่มือมนุษย์



สงวนลิขสิทธิ์โดย ธรรมะพีเดีย.คอม
เว็บไซต์นี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแผ่พุทธศาสนา โดยไม่มุ่งหวังผลทางพาณิชย์
อนุญาตให้นำไปเผยแผ่เพื่อสืบต่อพุทธศาสนาได้ตามกุศลเจตนา

www.thammapedia.com
( ศูนย์เผยแผ่พระพุทธธรรม )
Copyright © 2008 ALL RIGHTS RESERVED
 
 
หน้าหลัก