หน้าหลัก พระสงฆ์ ตำแหน่งเอตทัคคะ พระอุปเสนเถระ
Search:

“ภิกษุผู้ประกอบด้วยธรรม ๑๐ ประการ ...
สัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ สัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ
..ย่อมเป็นผู้ควรของคำนับ เป็นผู้ควรของต้อนรับ ผู้ควรแก่ทักษิณา เป็นผู้ควรอัญชลีกรรม เป็นนาบุญของโลก

หนังสือ พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ์
รองศาสตราจารย์แสง จันทร์งาม

หน้าแรก : หมวดพระสงฆ์
๒๕. พระอุปเสนเถระ เอตทัคคะในทางผู้นำซึ่งความเลื่อมใส

พระอุปเสนะ เป็นบุตรของพราหมณ์ชื่อวังคันตะ มารดาชื่อนางสารี ในหมู่บ้านตำบล นาลันทา ซึ่งบิดาของท่านเป็นนายบ้าน หรือหัวหน้าหมู่บ้านนั้น อันตั้งอยู่ในแคว้นมคธ ท่านเป็น น้องชายอีกคนหนึ่งของพระสารีบุตรเถระ ในบรรดาพี่น้อย ๗ คน คือ ๑. พระสารีบุตร ๒. พระ จุนทะ ๓. พระอุปเสนะ ๔. พระเรวัตะ ๕. นางจาลา ๖. นางอุปจาลา ๗. นางสีสุปจาลา (บางแห่งกล่าวว่า ท่านเป็นบุตรคนที่ ๕ ของตระกูล)

เมื่อเจริญวัยขึ้นได้รับการศึกษา จบวิชาไตรเพท หรือพระเวททั้ง ๓ ตามลัทธินิยมของพราหมณ์ และถือว่าเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของศาสนา พราหมณ์ คัมภีร์พระเวททั้ง ๓ นั้น ได้แก่:-
๑) ฤคเวท (อิรุพเพท) เป็นบทสวดสรรเสริญเทพเจ้าทั้งปวง
๒) ยชุรเวท (ยชุพเพท) ประกอบด้วยมนต์ อันเป็นบทสวดอ้อนวอนในพิธีบูชายัญต่าง ๆ
๓) สามเวท ประมวลบทเพลงขับ สำหรับสวดหรือร้อง เป็นทำนองในพิธีบูชายัญ

ต่อมาภายหลังได้เพิ่มอถรรพเวท (อถัพเพท) หรือ อาถรรพเวท อันว่าด้วยคาถาอาคม ต่าง ๆ ทางไสยศาสตร์ เป็นมนต์สำหรับใช้ในการปลุกเสกวัตถุมงคลต่าง ๆ เมื่อเพิ่มคัมภีร์นี้เข้ามา ก็นับเป็นคัมภีร์ที่ ๔ ตามหลักลัทธิของศาสนาพราหมณ์ ถือกันว่า ผู้ใดจบพระเวทเหล่านี้แล้วก็จะ เรียกผู้นั้นว่า (ถึงที่สุดแห่งเวท และวิชาพระเวทนี้ก็ถือกันอีกว่า “เป็นวิชาที่ทำบุคคลให้เป็น พราหมณ์”

อุปเสนะ เมื่อพระสารีบุตรเถระผู้เป็นพี่ชายออกบวชแล้ว ตนเองก็มีจิตน้อมไปในการ บวชอยู่ด้วย วันหนึ่ง ได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ได้ฟังพระธรรมเทศนาแล้ว เกิดศรัทธาเลื่อมใสยิ่ง ขึ้น จึงกราบทูลขอบรรพชาอุปสมบท พระพุทธองค์ประทานให้ตามประสงค์ ท่านดำรงเพศ ภิกษุปฏิบัติศาสนกิจตามหน้าที่

แค่ ๑ พรรษา ตั้งตนเป็นอุปัชฌาย์
เมื่อท่านบวชได้เพียง ๑ พรรษา และยังเป็นปุถุชน มิได้บรรลุมรรคผลใด ๆ ท่านเกิดมี ความคิดขึ้นว่า “เราจะช่วยกระทำให้พระพุทธศาสนา เจริญรุ่งเรืองมากไป ด้วยหมู่ภิกษุสงฆ์” ดัง นี้แล้ว ก็ตั้งตนเป็นอุปัชฌาย์ บวชกุลบุตรผู้หนึ่งไว้ในสำนักของตน และจำพรรษาอยู่ด้วยกัน เมื่อออกพรรษาแล้ว ท่านได้พาสัทธิวิหาริก ศิษย์ของท่านไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วย หวังว่า จะได้รับคำยกย่องชมเชย จากพระองค์ แต่ครั้นพระพุทธองค์ตรัสถาม ก็ได้ทรงทราบว่า ท่านตั้งตนเป็นอุปัชฌาย์ บวชให้กุลบุตร ทั้ง ๆ ที่ตนเพิ่งบวชได้เพียงพรรษาเดียว อีกทั้งยังเป็น ปุถุชน จึงทรงประณามตำหนิท่านอย่างรุนแรง ด้วยพระดำรัสว่า

“ดูก่อนโมฆบุรุษ ทำไมเธอจึงเป็นคนมักมากอย่างนี้ ตัวเธอเองก็ยังต้องอาศัยผู้อื่นสั่ง สอนอยู่ แต่นี่ ทำไมเธอจึงทำตัวสั่งสอนผู้อื่นเสียเอง” และพระพุทธองค์ ก็ทรงติเตียนเธออีกเป็น อันมาก

ท่านอุปเสนะ รู้สึกสลดใจ ที่ถูกพระบรมศาสดาตำหนิอย่างนั้น จึงคิดว่า “เราถูกพระ พุทธองค์ทรงตำหนิ เพราะเรื่องสัทธิวิหาริก ดังนั้น เราจะอาศัยสัทธิวิหาริกนี่แหละ ยังพระบรม ศาสดาให้ตรัสสรรเสริญเราให้ได้”

จากนั้น ท่านได้กราบทูลลาพระผู้มีพระภาค พาสัทธิวิหาริกกลับสู่ที่พัก ตั้งใจบำเพ็ญเพียร เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานนักก็ได้บรรลุพระอรหัตผล หมดกิเลสาสวะ เป็น พระอเสขบุคคล ในพระพุทธศาสนา เมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านได้สมาทานธุดงค์วัตร ประพฤติปฏิบัติในธุดงค์คุณครบทั้ง ๑๓ ข้อดังนี้:-

ธุดงควัตร” หมายถึง ข้อปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลส ๑๓ ข้อ ได้แก่:-
๑. ปังสุกุลิกธุดงค์ ถือการใช้ผ้าบังสุกุลเป็นวัตร
๒. เตจีวริกธุดงค์ ถือการใช้ผ้าไตรจีรเป็นวัตร
๓. ปิณฑปาติกธุดงค์ ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร
๔. สปทานจาริกธุดงค์ ถือการเที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับตรอกเป็นวัตร
๕. เอกสานิกธุดงค์ ถือการนั่งฉัน ณ อาสนะเดียวเป็นวัตร
๖. ปัตตปิณฑปาติกธุดงค์ ถือการฉันเพราะในบาตรเป็นวัตร
๗. ขลุปัจฉาภัตติกธุดงค์ ถือห้ามภัตที่นำมาถวายในภายหลังเป็นวัตร
๘. อรัญญิกธุดงค์ ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร
๙. รุกขมูลิกธุดงค์ ถือการอยู่โคนต้นไม้เป็นวัตร
๑๐. อัพโภกาสิกธุดงค์ ถือการอยู่ในที่แจ้งเป็นวัตร
๑๑. โสสานิกธุดงค์ ถือการอยู่ในป่าช้าเป็นวัตร
๑๒. ยถาสันถติกธุดงค์ ถือการอยู่ในเสนาสนะที่เขาจัดให้อย่างไรเป็นวัตร
๑๓. เนสัชชิกธุดงค์ ถือการนั่งเป็นวัตร (ไม่นอน)

ธุดงควัตร เหล่านี้ พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ ก็ด้วยมีพุทธประสงค์ เพื่อเป็นเครื่องขัด เกลากิเลสเครื่องเศร้าหมอง ที่หมักดองอยู่ในจิต เป็นเหตุให้คิดหมกมุ่นแต่ในเรื่องกามคุณ เป็นคน ใจแคบ มักมาก เห็นแก่ตัว เมื่อปฏิบัติในธุดงควัตรแล้ว กิเลสก็จะเบาบางลง เป็นคนมักน้อย สันโดษ ไม่มักมากด้วยลาภสักการะ ไม่เห็นแก่ความสุข อันเกิดจากกามคุณทั้งหลาย และธุดงควัตรเหล่านี้ ก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติทุกข้อ ผู้ใดมีความสามารถความพอใจ ที่จะปฏิบัติในข้อใด ก็สมาทาน เฉพาะข้อนั้น หรือมากกว่าหนึ่งข้อ ก็สุดแต่ความสมัครใจ เพื่อเป็นการให้โอกาสแก่ผู้ปฏิบัติ

เป็นต้นบัญญัติเรื่องตั้งพระอุปัชฌาย์
พระพุทธองค์ ทรงอาศัยกรณีของพระอุปเสนะ ที่ตั้งตนเป็นอุปัชฌาย์ ขณะที่บวชได้เพียง พรรษาเดียวเป็นเหตุ ทรงบัญญัติสิกขาบทเกี่ยวกับการที่ภิกษุจะเป็นอุปัชฌาย์ได้ จะต้องมีพรรษา ตั้งแต่ ๑๐ พรรษาขึ้นไปว่า:-

“ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ตถาคตอนุญาตให้ภิกษุมีพรรษา ๑๐ หรือเกินกว่า ๑๐ ขึ้นไป ให้ อุปสมบทแก่กุลบุตรได้ ภิกษุมีพรรษาหย่อนกว่า ๑๐ พรรษาไม่ควรให้อุปสมบท แก่กุลบุตร ภิกษุ ใดฝ่าฝืนต้องอาบัติทุกกฎ”

ความปรารถนาบรรลุผล
ต่อมาเมื่อท่านมีพรรษาครบ ๑๐ พรรษา ตามพระบรมพุทธอนุญาตแล้ว ได้เป็นอุปัชฌาย์ บวชให้กุลบุตรมากึง ๕๐๐ รูป ทั้งนี้ ก็เพราะท่านเป็นบุตรของตระกูลใหญ่ เป็นที่เครารพนับถือ ของคนทั่วไปอยู่แล้ว และเพราะท่านมีความสามารถแสดงธรรม เป็นที่นำมาซึ่งการปฏิบัติ ธุดงควัตร ๑๓ ข้อนั้น สุดแต่รูปใดจะมีศรัทธา มีความสามารถ และมีความถนัดในข้อใด สมาทาน ได้มากน้อยเพียงใด ก็สุดแต่จะศรัทธา

สมัยหนึ่งพระพุทธองค์ ประทับอยู่ที่พระเชตวันมหาวิหาร ท่านพระอุปเสนะได้พา สัทธิวิหาริกของท่าน ๕๐๐ รูป เข้าเฝ้ากราบถวายบังคมแล้ว พระพุทธองค์ตรัสปฏิสันถาร และ ตรัสถามสัทธิวิหาริกของท่านว่า:-

“ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุใด พวกเธอจึงสมาทานธุดงค์กันทั่วทุกรูป ?”
“ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลาย สมาทานธุดงควัตร ก็ด้วยความเคารพ และ ศรัทธาในพระอุปัชฌาย์ พระเจ้าข้า”

พระพุทธองค์ ประทานอนุโมทนาว่า “สาธุ สาธุ อุปเสน แปลว่า ดูก่อนอุปเสนะ ดีละ ดีละ”

ความหวังความตั้งใจของพระอุปเสนะ บรรลุวัตถุประสงค์ดังที่ตั้งใจไว้แต่ต้น ท่านได้ รับยกย่อง จากพระบรมศาสดา ในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้นำมาซึ่งความเลื่อมใสของหมู่ชนทุกชั้น

ท่านดำรงอายุสังขาร ช่วยกิจการพระศาสนาสมควรแก่กาลเวลาแล้ว ก็ดับขันธปรินิพพาน

อ่านข้อมูลเพิ่มเติม :
- ประวัติพระอุปเสนเถระ หนึ่งในอสีติมหาสาวก (พระมหาสาวก ๘๐)


ย้อนกลับ ที่มา : พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ โดย พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
และ http://www.84000.org

ฟังธรรมะบรรยาย
(มากกว่า ๔,๐๐๐ ไฟล์)

อ่านพระไตรปิฎก
(คัมภีร์สำคัญทางพุทธศาสนา)
อ่านหนังสือธรรมะออนไลน์
(โดยพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง)
วิธีปฏิบัติธรรม
(ธรรมะภาคปฏิบัติ)
 

จุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา
     จุดหมายสูงสุด ของพระพุทธศาสนา พึงบรรลุได้ด้วยความสุขหรือด้วยข้อปฏิบัติที่มีความสุข มิใช่บรรลุด้วยความทุกข์ หรือด้วยข้อปฏิบัติที่เป็นทุกข์
      ผู้ปฏิบัติจะต้องไม่ติดใจหลงไหลในความสุขที่เกิดขึ้นแก่ตน ไม่ปล่อยให้ความสุขที่เกิดขึ้นนั้น ครอบงำ
        จิตใจของตน ยังมีจิตใจเป็นอิสระ สามารถก้าวหน้าไปในธรรมเบื้องสูง ต่อๆ ไป จนบรรลุความเป็นอิสระ
        หลุดพ้นโดยบริบูรณ์
      ซึ่งเมื่อบรรลุจุดหมายนั้นแล้ว ก็สามารถเสวยความสุขที่เคยเสวยมาแล้ว โดยที่ความสุขนั้น ไม่มีโอกาส
        ครอบงำจิตใจ ทำให้ติดพันหลงไหลได้เลย
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

หลักแห่งพระพุทธศาสนาโดยสรุป
     พุทธศาสนาคือวิชาและระเบียบปฏิบัติ เพื่อให้รู้สิ่งทั้งปวงถูกต้องตามที่เป็นจริงว่าอะไรเป็นอะไร สิ่งทั้งปวง มีสภาพตามที่เป็นจริง คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวหรือของตัว ; แต่สัตว์ทั้งหลายยังหลงรัก หลงยึดติดสิ่งทั้งปวง เพราะอำนาจของการยึดมั่นที่ผิด ในพุทธศาสนามีวิธี ปฏิบัติเรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา เพื่อใช้เป็นเครื่องมือ ตัดการติดการยึดมั่นนั้นเสีย อุปาทาน การยึดมั่นนั้นมีสิ่งที่ลงเกาะหรือจับยึด คือ ขันธ์ทั้งห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
      เมื่อรู้จักขันธ์ทั้งห้า ตามที่เป็นจริง ก็จะสามารถเข้าใจสิ่งทั้งปวงจนถึงกับเบื่อหน่ายคลายความอยาก ไม่ยึดอะไร ติดอะไร และเราควรจะมีชีวิตอยู่อย่างที่เรียกว่า "เป็นอยู่ชอบ" คือให้ วันคืนเต็มไปด้วยความปีติ ปราโมทย์ อันเกิดมาจากการกระทำที่ดีที่งามที่ถูกต้องอยู่เป็นประจำ แล้วระงับความฟุ้งซ่าน เกิดสมาธิ เกิดความเห็นแจ้งได้เรื่อยๆ ไป จนกระทั่งเกิดความเบื่อหน่าย ความคลายออก ความหลุดพ้น และนิพพานได้ตามความเหมาะสมของสิ่งแวดล้อม
      ถ้าเราจะรีบเร่งทำให้ได้ผลเร็วขึ้น ก็มีแนวปฏิบัติที่เรียกว่า วิปัสสนาธุระ เริ่มตั้งแต่มี ความประพฤติบริสุทธิ์ มีใจบริสุทธิ์ มีความเห็นบริสุทธิ์ เรื่อยขึ้นไปจนถึงมีปัญญา คือความเห็นแจ้งบริสุทธิ์ ในที่สุดก็จะตัดกิเลสที่ผูกมัดคนให้ติดอยู่กับวิสัยโลกออกเสียได้ เรียกว่า การบรรลุมรรคผล
ท่านพุทธทาสภิกขุ : คู่มือมนุษย์



สงวนลิขสิทธิ์โดย ธรรมะพีเดีย.คอม
เว็บไซต์นี้จัดทำขึ้นเพื่อเผยแผ่พุทธศาสนา โดยไม่มุ่งหวังผลทางพาณิชย์
อนุญาตให้นำไปเผยแผ่เพื่อสืบต่อพุทธศาสนาได้ตามกุศลเจตนา

www.thammapedia.com
( ศูนย์เผยแผ่พระพุทธธรรม )
Copyright © 2008 ALL RIGHTS RESERVED
 
 
หน้าหลัก